วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์เยอรมนี


เริ่มต้นด้วยการต้านทานการยึดครองโดยชาวโรมันของชนเจอร์มานิค

เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายชนชาติเยอรมันก็กลายเป็นกลุ่มชนผู้มีอำนาจในยุโรปเข้าแทนที่ชาโรมัน จนนำไปสู่กำเนิดจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ จักรวรรดิที่ 1

ในสมัยกลางจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ธำรงอยู่กว่าพันปีแต่ก็เป็นเพียงจักรวรรดิที่มองไม่เห็นยกเลิกจักรวรรดินี้กลายเป็นสมาพันธรัฐเยอรมัน เป็นกลุ่มของรัฐต่าง ๆ

ราชอาณาจักรปรัสเซียสามารถรวมประเทศเยอรมนีได้โดยการนำของบิสมาร์ก ก็กลายเป็นจักรวรรดิเยอรมัน หรือจักรวรรดิที่ 2

การปฏิวัติล้มระบอบกษัตริย์หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้เยอรมนีกลายเป็นสาธารณรัฐไวมาร์ จนถูก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ 

ผู้นำลัทธินาซีแผ่ขยายดินแดนไปทั่วยุโรปในสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ จักรวรรดิที่ 3 จนฮิตเลอร์พ่ายแพ้เยอรมนี


สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 

ตั้งอยู่ในตอนกลางของทวีปยุโรป เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน เยอรมนีถือได้ว่าเป็น 1 ใน ประเทศของโลกที่มีระบบเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และการศึกษาที่เข้มแข็ง และจากแหล่งที่ตั้งของประเทศที่อยู่ตรงใจกลางของทวีปยุโรปทำให้เยอรมนีมีประเทศเพื่อนบ้านล้อมรอบทั้งหมด 9 ประเทศ ดังนี้
- ออสเตรีย
- เบลเยี่ยม
- สาธารณรัฐเช็ก

- เดนมาร์ก
- ฝรั่งเศส
- ลักเซมเบอร์ก
- เนเธอร์แลนด์
- โปแลนด์
- สวิตเซอร์แลนด์
มีขนาดพื้นที่ทั้งสิ้น 357,021 ตารางกิโลเมตร แม่น้ำสายหลักของประเทศแห่งนี้คือแม่น้ำไรน์ (RhineRiver) ซึ่งมีความยาวที่สุดในประเทศเยอรมนี

ภูมิอากาศ

ภูมิอากาศในเยอรมนีจะแตกต่างกันในแต่ละเมือง โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวที่ราบ 1.5 องศาเซลเซียส และเทือกเขาจะอยู่ที่ -6 องศาเซลเซียส ส่วนค่าอุณหภูมิเฉี่ยในช่วงเดือนกรกฎาคมจะอยู่ที่ 18-20 องศาเซลเซียส

เมืองน่าเที่ยวประเทศเยอรมนี

จตุรัสมาเรียนพลัทซ์

มาเรียนพลัทซ์ (Marienplatz) จตุรัสมาเรีย หรือ จตุรัสแมรี่ (Mary’s Square) ซึ่งอยู่ในกลางใจของนครมิวนิค ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1158 ในยุโรปสมัยกลาง อยู่ในเขตเมืองเก่า ในยุคกลางจตุรัสมาเรียเคยเป็นตลาด แต่ในปัจจุบันได้เป็นศูนย์กลางการจัดงานที่สำคัญทางวัฒนธรรม จัตุรัสมาเรียนพลัทซ์ มีสิ่งที่น่าชมมากมาย อย่างเช่น รูปปั้นพระแม่มารี (Mariensaule) ,ทองคำบนภูเขาสูงศาลาว่าการเมืองใหม่ ( Neuse Rathaus )ที่มีจุเด่นตรงที่หอระฆังจะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำในช่วงเวลาประมาณ 11 โมง ของฤดูหนาว และในช่วงเวลา ประมาณ 5 โมงเย็นในฤดูร้อน เป็นต้น

เรสซิเดนซ์
พระราชวังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ มิวนิค ที่ซึ่งเป็นที่ประทับและศูนย์กลางอำนาจของกษัตริย์บาวาเรียนนานถึง 500 ปี  ปัจจุบันห้องจำนวน 130 ห้อง ภายในพระราชวังเป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งเฟอร์นิเจอร์ ภาพเขียน เครื่องเคลือบ และเครื่องเงิน ไฮไลท์ที่ควรเยี่ยมชมคือ Antiquarium ห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ที่สวยงาม สร้างปี 1570 เพื่อเป็นสถานที่เก็บสะสมคอลเลกชั่นของโบราณของยุค Albrecht ที่ 5
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียน 


พิพิธภัณฑ์บาวาเรียน The Bavarian National Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอย่างมากแก่ชาวเยอรมันซึ่งพิพิธภัณฑ์บาวาเรียนถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1855 ในสมัย พระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2 ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้มีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ คอลเลกชั่นงานศิลปะของราชวงศ์ วิทเทลสบาค ซึ่งมีงานศิลป์ชั้นยอด ตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงยุคอาร์ตนูโว จัดแสดงเต็มพื้นที่ทั้ง 3 ชั้นพิพิธภัณฑ์บาวาเรียนให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาวัฒนธรรมและศิลปะยุโรปในยุคต่าง ๆ มีทั้งภาพเขียน งานหัตถกรรม เครื่องดนตรี รวมไปถึงอาวุธในสมัยก่อน






วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก

10 อันดับภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก


อันดับที่10.  Femme aux Bras Croises  (Woman with Folded Arms) ภาพเขียนฝีมือของPablo Picasso
วาดขึ้นในปี 1902 ในยุค Blue Period ของเขา ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนและโศกเศร้า ในภาพเป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดอกอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย ความแตกต่างของน้ำหนักสีฟ้าที่สวยงามคือเทคนิคการใช้สีที่Picasso นิยมใช้ในยุคนี้ภาพ Femme aux Bras Croises ถูกประมูลขายไปในราคา $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลของสถาบัน Christie ที่ Rockefellerในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ พฤศจิกายน 2000


อันดับที่9.  Rideau, Cruchon et Compotier  ภาพเขียนของ Paul Cezanne เขียนขึ้นในช่วงปี1893-1894
Cezanne เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพหุ่นนิ่ง ซึ่งแสดงอารมณ์อันล้ำผ่านความสงบนิ่งในความเหมือนจริงภาพนี้ถูก ประมูลขายไปด้วยราคาสูงถึง $ 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Sothebyเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1999 ผู้ที่ประมูลไปคือ ตระกูล Whitneys หนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นภาพนี้ได้ถูกนำมาประมูลใหม่อีกครั้งหนึ่ง


อันดับที่8.  Portrait de l'artiste sans barbe  ("Self-portrait without beard") หรือ ภาพเหมือนที่ไม่มีเคราหนึ่งในภาพเหมือนตัวเองหลายๆ ภาพของ Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปี1889 ซึ่งเขาพำนักอยู่ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ภาพเขียนสีน้ำมันภาพบนเฟรมผ้าใบภาพนี้มีขนาด 40x31 ซ.ม. (16" x 13")Van Gogh เขียนภาพนี้หลังจากที่เขาพึ่งโกนหนวดเสร็จ แตกต่างจากภาพเหมือนรูปอื่นๆ ของเขาที่ไว้เครา และมันได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกตลอดกาลเมื่อถูกประมูลขายไปใน ราคาสูงถึง $ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 19พฤศจิกายน1998
             


อันดับที่7.  Les Noces de Pierrette  ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกอีกภาพหนึ่งของ Pablo Picasso จิตรกรและประติมากรเอกชาวสเปน วาดขึ้นในยุค Blue Period ของเขา เป็นช่วงที่เขาทุกข์ทรมานจากความยากจนและความโศกเศร้า เนื่องจาก Carlos Casagemas เพื่อนรักของเขาฆ่าตัวตายเมื่อปี 1901 ภาพนี้ถูกขายให้กับเศรษฐีชาวเอเซียด้วยราคาสูงถึง 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน1989 ในการประมูลที่สถาบัน Binoche et Godeau ที่ปารีส


อันดับที่6.  ภาพเขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนายKenneth Thomson (บารอนทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ (76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby


อันดับที่5.  Dora Maar au Chat  (Dora Maar with Cat) ภาพเขียนปี 1941 โดย Pablo Picassoจิตรกรเอก
ชาวสเปน ผู้หญิงในภาพคือ Dora Maar ภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้เขียนขึ้นในยุค Cubism ที่มีชื่อเสียงของเขา และถูกนำออกประมูลขายในการประมูลภาพเขียนของจิตรกรยุค Impressionism ที่สถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 23มีนาคม 2006 ด้วยมูลค่าสูงถึง 95.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาที่ประเมินไว้คือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ไม่ประสงค์ออกนามเป็นผู้ที่ประมูลไป





อันดับที่4. Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้ายใน วันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุคCubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียง ของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง



อันดับที่3. Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศสPierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่
พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990ด้วยมูลค่าสูงถึง 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน

อันดับที่2.  Portrait  of  Dr. Gachet  by  Vincent  Van  Gogh ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือนาย Ryoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990ด้วยวงเงินสูงถึง 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr.Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1890 โดย Vincent van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์(Impressionism)ชาวดัทช์นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่าเขาปรารถนาที่จะเผารูป เขียนของ Vincent van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเป็นแค่การพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใด ซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van Gogh ได้เขียนรูปเหมือนของ ไว้ 2 รูปด้วยกัน โดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส

อันดับที่1. ภาพ Mona Lisa (La Gioconda) ที่วาดโดยจิตรกรเรืองนาม Leonardo da Vinci (1452-1519) ซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี 15031507 ปัจจุบันเป็นสมบัติของรัฐบาลฝรั่งเศส จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Musedu Louvre ในกรุงปารีส เป็นภาพที่ไม่มีวันนำออกมาประมูลขายได้ แต่มันเป็นภาพเขียนมีการประกันภัยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1962 ภาพนี้ได้รับการประกันภัยสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนที่จะนำออกไปแสดงยังสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายเดือน และในปี 2006 ภาพนี้จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึงราวๆ 670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว 10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก





เพลงstarry night




เพลง starry night


Starry, starry night
Paint your palette blue and grey
Look out on a summer's day
With eyes that know the darkness in my soul
Shadows on the hills
Sketch the trees and daffodils
Catch the breeze and the winter chills
In colours on the snowy linen land

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They did not know how
Perhaps they'll listen now

Starry, starry night
Flaming flowers that brightly blaze
Swirling clouds and violet haze
Reflect in Vincent's eyes of china blue
Colours changing hue
Morning fields of amber grain
Weathered faces lined in pain
Are soothed beneath the artists' loving hand

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They did not know how
Perhaps they'll listen now

For they could not love you
But still your love was true
And when no hope was left inside
On that starry, starry night
You took your life as lovers often do
But I could have told you Vincent
This world was never meant for one as beautiful as you

Like the strangers that you've met
The ragged men in ragged clothes
The silver thorn of bloody rose
Lie crushed and broken on the virgin snow

Now I think I know
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They're not listening still
Perhaps they never will...

The Starry Night(ราตรีประดับดาว)

ราตรีประดับดาว เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์คนสำคัญในสมัยอิมเพรสชันนิซึมยุคหลัง ที่ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (Museum of Modern Art) ในนครนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941
ภาพ “ราตรีประดับดาว” ถูกเขียนในปี ค.ศ. 1889 เป็นภาพภูมิทัศน์นอกหน้าต่างสถานบำบัดยามกลางคืน แต่ฟาน ก็อกฮ์เขียนภาพนี้ตอนกลางวันจากความทรงจำ



                                                                    ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์

                                                               จิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ
                                                                        ค.ศ. 1889
                                                         พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่, นครนิวยอร์ก   
             ที่มา

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1888 เมื่อพำนักอยู่ที่อาลส์ ฟาน ก็อกฮ์เขียนภาพ “ราตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรน”และต่อมาก็เขียนภาพด้วยปากกาจากภาพที่เขียนก่อนหน้านั้น ฟาน ก็อกฮ์อ้างว่าการเขียนภาพ “อาลส์” เป็นการเขียนเพื่อสนอง "ความต้องการทางศาสนาทางใจอย่างรุนแรง"
ในกลางเดือนกันยายน ค.ศ. 1889 หลังจากวิกฤติการณ์อันร้ายแรงที่เริ่มมาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมจนถึงวันสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ฟาน ก็อกฮ์ก็ตัดสินใจส่งภาพ “ภาพศึกษายามกลางคืน” ในกลุ่มงานที่จะส่งไปให้น้องชายin the next batch of works to be sent to his brother, ทีโอในปารีส เพื่อทุ่นค่าใช้จ่ายในการส่งงานไปให้ทีโอ ฟาน ก็อกฮ์ก็ไม่ได้ส่งภาพศึกษาอีกสามภาพ ("ที่กล่าวถึงข้างต้น - ดอกฝิ่น - แสงสะท้อนยามค่ำ - พระจันทร์ขึ้น") ภาพสามภาพนี้ส่งไปปารีสรวมกับชุดที่ส่งตามไปต่อมา ทีโอไม่ได้กล่าวว่าได้รับงานที่ส่งไปให้ซึ่งทำให้ฟาน ก็อกฮ์ต้องเตือนถาม  และในที่สุดก็ได้รับความเห็นของทีโอเกี่ยวกับงานที่เพิ่งเขียน

ภาพร่างด้วยปากกาหลังจากที่เขียนภาพนี้

หัวเรื่องของภาพ
ใจกลางของภาพ “อาร์ลส์” เป็นหมู่บ้านแซ็ง-เรมี-เดอ-พรอว็องส์ ภายใต้ท้องฟ้าที่ม้วนตัวเป็นก้นหอย ซึ่งเป็นมุมที่มองจากสถานบำบัดไปยังทิศเหนือ แนวอัลปิลล์ (Alpilles)ที่เห็น ไกลออกไปทางด้านขวาดูจะประสานกับภูมิทัศน์ แต่ที่จริงแล้วดูเหมือนว่าเนินเขาตรงกลางในภาพจะมาจากบริเวณที่อยู่ทางด้านใต้ของสถานบำบัด ต้นไซเปรสทางด้านซ้ายถูกเขียนเพิ่มภายหลัง สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือฟาน ก็อกฮ์ได้เปลี่ยนตำแหน่งของกลุ่มดาวหมีใหญ่จากทางเหนือมาเป็นทางใต้แล้วครั้งหนึ่งในภาพ “าตรีประดับดาวเหนือแม่น้ำโรน

        ระเบียงภาพ


กีฬามาราธอน กีฬาโอลิมปิก

ประวัติกีฬาโอลิมปิคในยุคโบราณ (The Ancient Olympics)


           ก่อนหน้าคริสตกาลกว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดาเนินการกันบนยอดเขา “โอลิมปัส” ในประเทศกรีซ โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขัน เพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจาพวกมวยปล้า เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชาย ห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้น สถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป ไม่เพียงพอที่จุทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันลงมาที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าแข่งขันสวมกางเกง พิธีการแข่งขันจัดอย่างเป็นระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่แข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้ มี 5 ประเภท คือ วิ่ง, กระโดด, มวยปล้า, พุ่งแหลน และขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง ๆ จะต้องเล่นทั้ง 5 ประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทาด้วยกิ่งไม้มะกอกซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐ ในฐานะตัวแทนของพระเจ้า
การแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส ที่เดิมเป็นประจาทุก ๆ สี่ปี และถือปฏิบัติติดต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกาหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกาลังทาสงครามกันอยู่ จะต้องหยุดพักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้ว จึงค่อยกลับไปทาสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อ ๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรก ๆ นี้กรีฑา 5 ประเภทดังกล่าวที่จัดแข่งขันกันในครั้งแรกก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า เพ็นตาธรอน หรือ ปัญจกรีฑา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการราลึกถึงกาเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนไปตามเวลา
การแข่งขันได้ดาเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลาถึง 1,200 ปี จนมาในปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) จักรพรรดิธีโอดอซิดุชแห่งโรมันได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นเสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม คือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรลซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะ ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันนี้เสีย ตลอดระยะเวลาที่มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้น ณ บริเวณที่แห่งเดียว คือ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่ว่า “การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก”


กีฬามาราธอน

              กีฬามาราธอนนั้นเป็นกีฬาที่มีผู้นิยมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวกรีกถือว่าเป็นกีฬาที่สำคัญที่สุดและ
กีฬาประเภทนี้ก็กำเนิดขึ้นจากประเทศนี้นั่นเอง คือในปี 490 ก่อนคริสตกาล กองทัพชาวเอเธนส์ได้ทำสงครามกับพวกเปอร์เซียที่ทุ่งมาราธอนเป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อกองทัพของเอเธนส์ได้รับชัยชนะ ทหารชื่อฟิดิปปิเดส ได้วิ่งจากทุ่งมาราธอนกลับมายังกรุงเอเธนส์ ซึ่งมีระยะทางถึง 40 กิโลเมตร เพื่อแจ้งข่าวชัยชนะในครั้งนี้ เขาวิ่งโดยไม่ได้หยุดพักเลย เมื่อถึงกรุงเอเธนส์ เขาได้ตะโกนร้องด้วยความดีใจว่า "จงยินดี เราชนะแล้ว" หลังจากนั้นเขาก็ขาดใจตาย ตำนานนี้ได้ถือว่าฟิดิปปิเดส เป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง  พอถึงปี พ.ศ.2477 ได้มีการจัดประชุมผู้แทนกีฬาโอลิปปิคจากชาติต่างๆ ขึ้นและได้มีการกำหนดให้มีการวิ่งมาราธอนเป็นกีฬาชนิดหนึ่งในโอลิมปิค ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีก

ความคิดสมัยใหม่ Modernism และ ความคิดหลังสมัยใหม่ Postmodernism


ความคิดสมัยใหม่ 
Modernism

              เราต้องยอมรับว่า สังคมนี้เป็นสังคมสมัยใหม่ที่เจริญทางวัตถุ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันมีทั้งผลดีและเสีย สร้างทั้งความเจริญ รุ่งเรืองและความเสื่อมเสีย สังคมมนุษย์เจริญก้าวหน้ามากเท่าไร  มนุษย์ยิ่งจำเป็นต้องการรู้ตนเองและสังคมมากเท่านั้น นักคิดทางสังคมทั้งหลายจึงพยายามศึกษาเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อความรู้เข้าใจความเป็นมนุษย์กับสังคม เห็นความแตกต่างของสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจนที่เป็นไปตามกาลเวลา ตามหลักสัจจธรรมที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจังไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม การปฏิบัติ วิทยาการ  สิ่งประดิษฐ์ และเทคโนโลยีทั้ง หลาย เกิดการยอมรับการวิวัฒนาการสังคมกันอย่างแพร่หลาย ยอมรับสิ่งใหม่มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่แทนของเดิม ทำให้ของเดิมที่มีอยู่แล้วกลับถูกมองเห็นว่าเก่าโบราณล้าหลังไม่ทันสมัยไม่ ยอมรับกันอีกต่อไป อะไรคือความจริง อะไรคือใหม่ อะไรคือเก่า อะไรคือทันสมัย อะไรคือล้าหลัง

  

ความคิดสมัยใหม่ (Modernism, Modernity or Modernization) ตาม Habermas (1987) และ Barry Smart กล่าวเอาไว้ว่า เริ่มมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 มาจากภาษาละตินว่า “modernus = modern” เป็นการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่ในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปสู่สิ่งอื่น แล้วต่อมาไม่นาน ก็มีการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่อีกในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปแสวงหาความรู้จริงสิ่งสากล พยายามรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายในสากลโลกตามความเป็นจริง รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายด้วยจิตหรือปัญญา เพราะอิทธิพลแนวความความคิดของคานต์ (Kant’s conception of a universal history) เป็นกระบวนการความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมจากเก่าไปสู่ใหม่ (Turner, 1991: 3) เป็นการแสวงหาความรู้จริงของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายตามการเปลี่ยนแปลงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของโลกทางสังคม เพราะความเป็นมาของสังคมนี้เชื่อศรัทธาในพระเจ้าเป็นผู้สร้างกำหนดบันดาล ไม่เชื่อมนุษย์และธรรมชาติคือผู้สร้างกำหนดแสดง
              แนวคิดใหม่ทันสมัย นักปราชญ์หรือนักคิดทางสังคมบางคนกล่าวบอกว่า ควรนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) แต่นักสังคมวิทยาส่วนใหญ่เห็นว่า แนวคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) เป็นยุคประวัติศาสตร์ของสังคมยุโรปตะวันตก ที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นยุคที่สนใจศึกษาค้นคว้าปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบวิทยาศาสตร์ (Scientism) มาช่วยแก้ปัญหาสังคมทั้งหลายที่เกิดขึ้น แล้วส่งผลมีอิทธิพลต่อการศึกษาสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ของคองต์ในเวลาต่อมา (Comte’s positivism) 
              ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จึงถือได้ว่าเป็นยุคความคิดใหม่ทันสมัย  (Modernism) อันหมายถึงยุคสมัยให้ความสนใจในเรื่องศิลปะ วรรณคดี วิทยาการ สถาบัน  เหตุผล  การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์  รูปแบบของชีวิต ความจริงของชีวิตบนฐานของความเจริญเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก กล่าวคือเป็น ช่วงเวลาแห่งความเจริญทางวัตถุ ความมั่นคงทางสังคม และความรู้เข้าใจตนเอง (Material progress, social stability and self-realization) ในยุโรปตะวันตก มีอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส  อิตาลี เป็นต้น แม้มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิดสมัยใหม่ ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ คือ ความจริง (Truth) เหตุผล (Rationality) วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) ผลของอุตสาหกรรม (Emergence of capitalism) การแผ่อำนาจทางตะวันตก (Western imperialism) การแพร่กระจายความรู้ และอำนาจทางการเมือง (Spread of literature and political power) การขับเคลื่อนทางสังคม (Social mobility)    เป็นสาเหตุสำคัญสนับสนุนส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมโลก ที่เรียกกันว่า “สมัยใหม่ความทันสมัย (Modernism)” เพราะผลของความเจริญทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนทางสังคม ทำให้มนุษย์ต้องการรู้เข้าใจตนเองและสังคมมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ทำให้ต้องมาคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความถูกต้องดีงามแบบสากล แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโลกร่วมกัน เพื่อความรู้เข้าใจใหม่ร่วมกัน จึงขอลำดับเหตุการณ์การวิวัฒนาการแนวความคิดใหม่ทันสมัย


ความคิดหลังสมัยใหม่
Postmodernism 


 “โพสต์ โมเดิร์น” “หลังสมัยใหม่” ในภาษาอังกฤษคือ post-modern หรือบ้างก็เขียนว่า postmodern หรือ ลัทธิหลังสมัยใหม่ (Postmodernism, โพสต์โมเดิร์นนิสม์)
เป็น ที่เข้าใจกันว่าคำว่า โพสต์โมเดิร์นนิสม์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในงานเขียนชื่อ “อาร์คิเทคเจอร์ แอนด์ เดอะ สปิริต ออฟ แมน” (Architecture and the Spirit of Man) ของ โจเซ็พ ฮัดนอท (Joseph Hudnot) ในปี 1949 ต่อมาอีก 20 ปีให้หลัง ชาร์ลส์ เจนส์ (Charles Jencks) ช่วยทำให้แพร่หลายออกไป จนกระทั่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 นักวิจารณ์ศิลปะเริ่มใช้คำๆนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปกติ ในตอนนั้นคำว่า โพสต์โมเดิร์น ยังคลุมเครืออยู่มาก แต่โดยมากแล้วบ่งบอกถึงการต่อต้านลัทธิสมัยใหม่ (โมเดิร์นนิสม์)
     นักทฤษฎีทั้งหลายเชื่อว่าการเปลี่ยนจากลัทธิสมัยใหม่ไปสู่ หลังสมัยใหม่ นั้นบ่งบอกถึง”สำนึก” ที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมและระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจ บรรษัทข้ามชาติขนาดมหึมาได้ก้าวเข้ามาควบคุมวิถีชีวิตด้วยระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและสื่อมหาชนที่ทรงพลัง ซึ่งได้เข้ามาทำให้เขตแดนของประเทศชาติหมดความหมาย (ในแง่ของการ ถ่ายเททางข่าวสารข้อมูล อิทธิพลทางศิลปะและวัฒนธรรม) ตัวอย่างเช่น ภาพงานศิลปะในนิตยสารศิลปะที่สามารถเข้าถึงคนดูคนอ่านในระดับนานาชาติได้ อย่างรวดเร็ว
ลัทธิทุนนิยมใน ยุคหลังสมัยใหม่และหลังอุตสาหกรรมได้ทำให้ผู้บริโภคเกิด วิสัยทัศน์ใหม่ต่อประเด็นต่างๆในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพรมแดนของโลกตะวันออกและตะวันตกที่ถูกกำหนดขึ้นหลัง สงครามโลก ครั้งที่ 2 และเรื่องการปฏิวัติในด้านสิ่งแวดล้อมโลก ที่เริ่มขึ้นระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้การเส้นแบ่งแยกระหว่างลัทธิ “สมัยใหม่” กับ “หลังสมัยใหม่” ชัดเจนขึ้น
     “หลังสมัยใหม่” เป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงความเสื่อมศรัทธาใน “ความเป็นสมัยใหม่” หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังสมัยใหม่ ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีอย่างสุดขั้ว แต่ต่อต้าน “ความเจริญ” หรือ “ความก้าวหน้า” แบบลัทธิสมัยใหม่ที่ไม่สนใจ (หรือตอนนั้นยังไม่รู้) ผลกระทบที่รุนแรงต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
     ความคิดเกี่ยวกับลัทธิ “สมัยใหม่” ต้องการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปสู่ความเป็นสังคมยุคอุตสาหกรรม แต่ “หลังสมัยใหม่” มีความปราถนาที่จะก้าวไปสู่ยุคอิเล็คโทรนิคมากกว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การทำงานศิลปะสมัยใหม่และทฤษฎีศิลปะต้องอยู่ในกฏเกณฑ์มากขึ้น มีกรอบที่ชัดเจนและแคบลงเกือบจะเหลือแค่ “ศิลปะกระแสหลัก” ที่เป็นแนวนามธรรมกระแสเดียว จากแนวคิดและรูปแบบของศิลปะลัทธิ มินิมอลลิสม์ (Minimalism) ที่ทำให้ศิลปินในช่วงนั้นกลับไปสู่ความเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด จนเปรียบได้ว่ากลับไปที่เลขศูนย์เลยทีเดียว รูปทรงในศิลปะถูกลดทอนจนเปลือยเปล่า แทบจะไม่มีอะไรให้ดู
     การมองโลกในแง่ดีและความคิดในเชิงอุดมคติแบบลัทธิสมัยใหม่ต้องหลีกทางให้แก่ ความรู้สึกที่ความหยาบกร้านและข้นดำของลัทธิ หลังสมัยใหม่
     ศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่ เติบโตขึ้นจาก พ็อพ อาร์ต (Pop Art), คอนเซ็ปชวล อาร์ต (Conceptual Art) และ เฟมินิสต์ อาร์ต (Feminist art) อันเป็นนวัตกรรมของศิลปินในยุคคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยแท้ พวก หลังสมัยใหม่ ได้ทำการรื้อฟื้นรูปแบบ ประเด็นสาระ หรือเนื้อหาหลายอย่างที่พวกสมัยใหม่เคยดูหมิ่นและรังเกียจที่จะเข้าไปเกี่ยว ข้อง โรเบิร์ต เว็นทูรี (Robert Venturi) สถาปนิกในยุค 1960 ได้เขียนแสดงความเห็นในงานเขียนที่ชื่อ “คอมเพล็กซิตี้ แอนด์ คอนทราดิคชัน อิน อาร์คิเทคเจอร์” (Complexity and Contradiction in Architecture) (ปี 1966) เกี่ยวกับ “หลังสมัยใหม่” เอาไว้ว่า “คือปัจจัย (ต่างๆ) ที่เป็น “ลูกผสม” แทนที่จะ “บริสุทธิ์”, “ประนีประนอม” แทนที่จะ “สะอาดหมดจด”, “คลุมเครือ” แทนที่จะ “จะแจ้ง”, “วิปริต” พอๆกับที่ “น่าสนใจ”
     ด้วยกระแส ลัทธิหลังสมัยใหม่ ทำให้ศิลปะในแนวคิดนี้หันกลับไปหาแนวทางดั้งเดิมบางอย่างที่พวกสมัยใหม่ (ที่ทำงานแนวนามธรรม) ปฏิเสธไม่ยอมทำ เช่น การกลับไปเขียนรูปทิวทัศน์และรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพวก หลังสมัยใหม่ ยังท้าทายการบูชาความเป็นต้นฉบับ ความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใครของพวกสมัยใหม่ ด้วยการใช้วิธีการที่เรียกว่า “หยิบยืมมาใช้” (Appropriation, แอ็บโพรพริเอชัน) มาฉกฉวยเอารูปลักษณ์ต่างๆ จากสื่อและประวัติศาสตร์ศิลป์ มานำเสนอใหม่ในบริบทที่เปลี่ยนไปบ้าง ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง เสียดสีบ้าง
     ในแวดวงทฤษฎีเกี่ยวกับศิลปะ “หลังสมัยใหม่” ได้ยกเลิกการแบ่งแยกศาสตร์ต่างๆ เช่น การแบ่งศิลปวิจารณ์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และสื่อสารมวลชนออกจากกัน โดยการนำเอาศาสตร์เหล่านั้นมาผสมร่วมกัน แล้วนำเสนอเป็นทฤษฎีหลังสมัยใหม่ เช่นงานทางความคิดของ มิเชล ฟูโค (Michel Foucault) ฌอง โบดริยารด์ (Jean Baudrillard) และ เฟรดริค เจมสัน (Fredric Jameson)
     ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในกระแสศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่ ในตะวันตกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ นิทรรศการศิลปกรรมย้อนหลัง สำหรับศิลปินที่ดังตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆ ทำให้เกิดแรงกดดันต่อศิลปินในการที่จะต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยัง น้อย ในหลายกรณีได้ทำให้เกิดการประนีประนอมระหว่างการ “ประสบความสำเร็จในอาชีพศิลปิน” กับ “อุดมการณ์ทางศิลปะ” ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับศิลปินในลัทธิสมัยใหม่เลย